เทศน์เช้า

สมาธิกับปัญญา

๓o ต.ค. ๒๕๔o

 

สมาธิกับปัญญา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๐
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

นี่ความชินชานะ เรื่องของศาสนาไง เรื่องของความชินชา เหมือนเทคโนโลยี เรียนครึ่งๆ กลางๆ เป็นอันตรายนะ เทคโนโลยีทุกอย่างเลยถ้าเราเรียนไม่จบ เรียนไม่รอดนี่เราใช้ไม่ได้ เรื่องศาสนา เรื่องธรรมะ.. เรื่องธรรมะนี่เยี่ยมจริงๆ เลย แต่ศึกษาแล้วเราศึกษาครึ่งๆ กลางๆ ไง

ไปอยู่ที่หัวหิน เรานอนนี่อึดอัดเลย แต่เราไม่พูดเพราะเรื่องของช่าง มันขึ้นไปมุงหลังคากันแล้วมันร้อนไง มันพูดไปมุงไป แล้วพระก็นั่งกันอยู่นะ บอกทำใจให้ว่าง ทำใจให้ว่างแล้วมันจะไม่ร้อน ดึงกลับมาอยู่ที่ใจของตัว.. นั่งฟังนี่เหมือนเทศน์เลย มันเทศน์เลย มันจำคำพูดได้ทุกคำเลย

เมื่อวานก็เหมือนกัน ช่างเขามาพูด เขาบอกว่าเขาไปตามวัดมานะ วัดที่ว่าอาจารย์เขานี่ อาจารย์..... อาจารย์คนจีน พระดีก็มี แต่ดีประสาพระ ดีในวินัยไง เขาเอาพวกน้ำเต้าหู้ไป บอกว่าเอ็งจะฆ่ากูหรือ? เขาบอกว่าเอ็งเอาบุหรี่กับน้ำเต้าหู้มา บุหรี่ข้ารับได้เพราะติดวินัย แต่น้ำเต้าหู้มันเป็นอาหาร มันเป็นของอิ่ม เขาว่าเป็นของอิ่ม เขาไม่รู้ว่ามันเป็นอาหาร เขาว่าเป็นของอิ่ม เขาว่าข้ากินไม่ได้หรอก เขาเอาคืนมา

แล้วเขาบอกว่าเขาไปตามวัด พระอาจารย์ก็พูดนะ

“มีสมาธินะ ทำสมาธิกัน ที่ไหนทำสมาธิ พอเกิดสมาธิแล้วเกิดปัญญานะ”

เราบอกว่า “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เลย!”

ไอ้คนพูดอย่างนั้น คนนี้ภาวนาไม่เป็น คนนี้อ่านตำรามาพูด เราบอกเลยนะเอ็งเป็นช่างไม้ เอ็งให้กบมันไสไม้โดยตัวมันเองได้ไหม? กบไม้ให้มันไสโดยตัวมันเอง โดยที่คนไม่ต้องไปจับมันให้มันไสเองได้หรือเปล่า? ไม่ได้.. ในมุมกลับกันช่างไม้ต้องเอากบไสไม้ มันถึงจะไสไม้ได้ใช่ไหม?

ในมุมกลับกันคือว่าถ้าช่างไม้ไม่มีกบ ช่างไม้เอามือไสไม้ได้ไหม? มือช่างไม้ไสไม้ไม่ได้ ช่างไม้ต้องมีกบ ต้องหากบมาคือหาสมาธิ แล้วต้องมีปัญญา สมาธิกับปัญญามันคนละอันกัน เกิดสมาธิแล้วมาเกิดปัญญา ก็เหมือนเกิดสมาธิแล้วจะเกิดปัญญาใช่ไหม? ทำสมาธิแล้วเกิดปัญญา ถ้าทำสมาธิแล้วเกิดปัญญา หากบมาแล้ววางไว้นั่นให้กบมันไสไม้เอง กบมันไสไม้เองได้หรือเปล่า? มันต้องให้คนไปจับมันมาไส ต้องช่างถึงจับมันมาไสได้

นี่คือว่าเป็นสมาธิแล้วต้องฝึกปัญญาขึ้นมา ถ้าเป็นสมาธิแล้วไม่ฝึกปัญญาขึ้นมา อาฬารดาบส อุทกดาบสนะ ได้สมาบัติ ๘ ได้สมาธิเต็มที่เลยทำไมไม่เกิดปัญญา ทำไมพระพุทธเจ้าต้องมาตรัสรู้ ต้องมาเดินอริยมรรค ทำไมต้องมาฝึกปัญญา ถ้าสมาธิมันจะเกิดปัญญา คนได้สมาธิมาก่อนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นี้มากมายเลย ทำไมพวกนั้นไม่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทำไมไม่เกิดปัญญาชำระกิเลสกัน

สมาธิเกิดปัญญาไม่ได้ สมาธิให้แต่ความสงบ ให้ความร่มเย็น สมาธิเป็นหลักของใจ สมาธินี่เยี่ยมมาก ถึงกับเป็นสมาบัติ ถึงกับเหาะเหินเดินฟ้าได้ แต่สมาธิก็เป็นมรรคองค์หนึ่งในมรรค ๘ ไม่ใช่ปัญญา สมาธิไม่ใช่ปัญญา ปัญญาก็ไม่ใช่สมาธิ แต่ปัญญาอาศัยสมาธิเกิดขึ้น ถ้าไม่มีสมาธิตัวนี้นะ ปัญญาเกิดขึ้นเป็นปัญญาทางโลก ปัญญาแบบธุรกิจ ปัญญาแบบเห็นแก่ตัว ปัญญาแบบการกดขี่ข่มเหงกัน

แต่ถ้ามีสมาธิ สมาธิตัวนี้พยายามกดกิเลสของตัวเองไว้ก่อนไง กดกิเลสตัวเองไว้ให้มันไม่มีเรา ไม่มีเขา เป็นเอกัคคตารมณ์ แล้วปัญญานี้เกิดขึ้นจะเป็นปัญญาโลกุตตระไง ปัญญาที่เข้ามาเชือดเฉือนไอ้ความเห็นแก่ตัวของตัวเอง ปัญญาตรงนี้จะเกิดขึ้นต่อเมื่อเราเกิดสมาธิแล้ว เราเอาสมาธิที่ความว่าง ความไม่มีตัวตนมาหัดวิปัสสนา หัดชำระกิเลสไง

นี่อธิบายให้เขาฟังนะ เขาก็ทึ่ง เพราะว่าเขาฟังมา อันนี้มันจำมาไง เห็นไหม นี่เขาอยู่ใกล้วัดไง เขาเรียกว่าความชินชาหน้าด้าน อาจารย์มหาบัวใช้คำนี้ แล้วเมื่อวานเราฟังอย่างนี้แล้วมันสะเทือนตรงไหนรู้ไหม?

๑.ชินชา ความชินชา ความรู้ครึ่งๆ กลางๆ

๒. อาจารย์มหาบัวพูดบ่อย เมื่อก่อนเราพูดบ่อยเลย แล้วเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้พูดนะ อาจารย์มหาบัวบอกว่า “หมาบ้าไง” หมาบ้ามันหันมากัดธรรมไง เห็นไหม

ชาวพุทธปล่อยวาง ชาวพุทธว่างหมดเลย ใครไปทำอะไรคนนั้นไม่ใช่ชาวพุทธ เป็นผู้ที่มีกิเลสมากไง ใครว่าอะไรก็ไปติเตียนไปต่อว่าเขานะ ถ้าชาวพุทธมา ใครตบหน้าทีหนึ่งก็หันอีกข้างไปให้เขาตบไง เราบอกว่าคนคิดแบบนี้.. เขาพูดคำนี้ขึ้นมานะ บอกว่าคนคิดแบบนี้แบบว่ากิเลสมันพาคิดไง

การศึกษาธรรมะนี่ศึกษาเพื่อรู้ ไม่ใช่ศึกษาเพื่อแอบอ้าง พูดคำนี้คือว่าศึกษาธรรมะเพื่อเอาไว้แอบอ้างไง แอบอ้างตรงไหน? อย่างเช่นพวกเราทำนา เห็นไหม เดี๋ยวนี้คนทำนานะ ทำนาไปใช้วัวใช้ควายนี่ชักช้า ต้องใช้เทคโนโลยีให้มันเจริญรุ่งเรืองไง เจริญมันจะได้เร็ว นี่ก็เหมือนกัน อ้างนั่นไป อ้างให้ไปไง การทำนาด้วยธรรมชาติมันจะได้ผลน้อย ต้องใส่ยาฆ่าแมลงเข้าไปมากๆ ต้องใช้ยาเร่ง ต้องใช้ต่างๆ จนพังไปหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน ปล่อยว่างนะ เราชาวพุทธนะปล่อยว่าง พวกเราว่าง เราบอกคนที่ปล่อยว่างๆ ไอ้พวกนั้น.. ส่วนใหญ่นะแต่ไม่เป็นทุกคน ส่วนใหญ่ เพราะว่าคนมันดีในมันดีตลอด ส่วนใหญ่พวกนี้มันจะตกนรก เพราะอะไร? เพราะมันปล่อยว่างแล้วมันก็ทำตามใจมันสิ คำว่าปล่อยว่างกิเลสมันพูดไง มันจะพูดเปิดช่องไว้ให้มันทำตามใจมันไง ฉันปล่อยวาง ฉันไม่มีกฎระเบียบ ฉันไม่มีกฎเกณฑ์ไง จะทำอย่างไรก็ได้ไง

บอกปล่อยว่างไม่ได้! ต้องบังคับตนเองให้เป็นสมาธิไง ต้องบังคับตัวเองไว้ก่อน เพราะคำว่าปล่อยว่างๆ มันจะทำตามใจของตัวไง แต่ถ้าเรามันให้ทาน มันมีศีล ภาวนา นี่ปล่อยว่างได้ไหม? ต้องบังคับเราให้เข้าในสิ่งที่ดี บังคับเราให้เข้าในธรรมะของพระพุทธเจ้า ต้องบังคับ บังคับถึงที่สุดแล้วมันหมุนเป็นธรรมชาติ แล้วมันจะปล่อยว่างโดยธรรมชาติของมันเอง ความปล่อยว่างนั้นคืออย่างน้อยๆ ต้องพระอนาคามีหรือพระอรหันต์นู่นล่ะมันถึงจะปล่อยว่างจริง

การปล่อยว่างคือปล่อยว่างจากกิเลส ไม่ใช่ปล่อยว่างแบบไม่อยากกระทำอะไรไง พอพูดให้มันฟังนะ ทึ่งนะ เอ๊ะ.. ก็เห็นกิ๊กก๊อก เห็นเจ๊กๆ อยู่นะ พอไปคุยกับเขาบอกไอ้..... ช่าง.....มันบวชแล้วมาอยู่ที่นี่ ไอ้.....มันจะกลัวมาก เห็นไหม มันจะกลัวมากเลย เพราะอะไร? เพราะถ้าเราออกไป ออกไปนี่เขาศึกษาเรื่องธุดงค์ไง เขามาถามเรื่องภาวนา เขาว่าทำไมมาอยู่ที่นี่ แล้วเราบอกว่าจำเป็นไหมต้องธุดงค์ เรามุมกลับเลย

“ช่าง.. ถ้าช่างอยู่ที่บ้าน ช่างทำงานที่บ้าน การทำงานที่บ้าน งานจะไปหาช่างไหม? ทำไมช่างมาทำงานที่นี่ล่ะ?”

พระอยู่ที่วัด ถ้าพระปฏิบัติได้นะ ปฏิบัติได้มีแต่ส่วนน้อย อยู่ที่วัดเราปฏิบัติได้นะ แต่ถ้าพระศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่วัดได้ แต่ถ้าพระปฏิบัติอยู่ที่วัดนะคอกหมูไง คอกหมู เพราะอะไร? เพราะอยู่ที่วัดมันชินชา เห็นไหม เหมือนกับอยู่ที่บ้านรองานมาเอ็งจะได้งานเท่าไหร่? ทำไมเอ็งต้องออกไปทำงานข้างนอก มาประมูลงาน มารับงาน

พระไปธุดงค์ก็เหตุนั้นแหละ ออกไปเพื่อทำงานชำระกิเลสเหมือนกับอยู่ที่วัดนั่นล่ะ แต่การอยู่ที่วัดมันนอนจม มันนอนเนื่อง มันไม่ตื่นตัว การออกธุดงค์ไปก็เพื่อไปชำระกิเลส มันลำบากนะ มันเข้าป่าไป มันเดินไปนี่มันเหงื่อไหลไคลย้อย จะได้กินไม่ได้กิน มันจะไปทุกข์ยากไปหมดเลย เพราะมันดูความทุกข์ของใจไง ถ้ามีตัวนี้มันเหมือนกับเราดึงตังเม เห็นไหม ตังเมเราดึงออกมาแล้วค่อยมาตัด

นี่ก็เหมือนกัน เราต้องใช้ความลำบาก ใช้ความอัตคัดขาดแคลนเพื่อดูจิต มันพลิกแพลงไง ดูใจมันไม่ยอมไง ไปธุดงค์หรือ? ก็ธุดงค์ในห้องไง ก็นอนอยู่นี่ก็ธุดงค์แล้วไง มันจะไม่ไป ดึงมันออกมาก็ดึงตังเมออกมาไง ไปสิเดินไป แล้วก็บอกมุมกลับด้วย ธุดงค์ไป เห็นพระธุดงค์แล้วนี่ธุดงค์โกหก ธุดงค์ตามถนน ธุดงค์ตามทางรถไฟนี่ธุดงค์โกหก ธุดงค์ต้องธุดงค์เข้าป่า ไอ้ธุดงค์อย่างนี้มันธุดงค์เรียกร้องศรัทธาจากญาติโยมไง

เพราะอะไรถึงว่าธุดงค์โกหก เพราะว่าถ้าธุดงค์อย่างนี้มันไม่ได้เสี่ยงกับพวกเทพ พวกจิต พวกผีไง มึงผิดจริง ถ้ามึงเข้าป่ามึงคอหัก เขาว่าเราเคยเข้าป่าไหม? เราบอกนอนอยู่กับเสือ หา! เขาตกใจนะ เสือนี่นอนอยู่ด้วยกัน

ศีลนี่เรายกตัวอย่างนะในถ้ำสาริกา ถ้ำสาริกานี่พระภิกษุไง ภิกษุไปอยู่นั่นตายไปล่วงหน้า ๒ องค์ หลวงปู่มั่นเป็นองค์ที่ ๓ ไง แล้วหลวงปู่มั่นก็อดอาหาร ในประวัติหลวงปู่มั่นไง พออดอาหารหลายวันเข้าเขานึกว่าพระองค์นี้ตายเป็นองค์ที่ ๓ ก็แห่มาดูกันเลยนะ บอกว่า เอ๊ะ.. นึกว่าตายแล้ว ไม่ ท่านอดอาหาร แล้วหลวงปู่มั่นใช้ปัญญาภายในไง พิจารณาภายในของท่าน เอ๊ะ พระ ๒ องค์ที่ตายข้างหน้าเป็นเพราะอะไร?

มาบิณฑบาตไง เดินไกล ถ้ำสาริกาเมื่อก่อนมันไกลมาก มาบิณฑบาตที่หมู่บ้านแล้วกลับไปไง อาหารได้มาอย่างนี้ฉันครึ่งหนึ่ง ทีนี้เก็บไว้ เก็บไว้ฉันพรุ่งนี้ไง ภิกษุสะสมอาหารไว้แรมคืนแล้วฉัน เป็นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ อาบัติปาจิตตีย์ไง วัตถุนี้เป็นนิสสัคคีย์ แต่ผู้ฉันเป็นปาจิตตีย์ อาบัติปาจิตตีย์นั่นน่ะเทพหักคอเลย ตาย ๒ ศพ ในประวัติหลวงปู่มั่นไปดูได้

แล้วเขาถามเรื่องกินข้าวเย็นไง ว่ากินข้าวเย็นเป็นอาบัติไหม? บอกเป็น เป็นปาจิตตีย์ ก็ตรงนี้ถึงบอกว่าธุดงค์เป็นอาบัติปาจิตตีย์ แล้วอาบัติหนักไหม? ถ้าทั่วไปเขาว่าไม่หนักหรอก แต่ถ้าการปฏิบัติหนัก ทุกกฎยังหนักเลย หนักตรงไหน? หนักตรงที่ว่ามันหลอกตัวเองไม่ได้ไง

ในเมื่อยังเริ่มหลอกตัวเอง สมมุติว่าเราทำความผิด เรารู้ว่าทำความผิดอยู่ นิวรณ์เกิดไหม? เกิด นั่งสมาธิเป็นสมาธิไหม? เป็นไหม? ลองไปทำดูสิเป็นไหม? อุบายไง นี่กิเลสมันเป็นธรรมชาติถ้าอยู่ที่ใจ สมมุติว่าอยู่องค์เดียว เราพลาดทำอาบัติไปนี่เป็นอาบัติ แล้วคืนนี้เราจะนั่งภาวนา มันเป็นนิวรณ์นี่ภาวนาแล้วเราจะทำอย่างไร? นี้พระพุทธเจ้าสอน อาศัยประสบการณ์ อาศัยการใช้ประสบการณ์ในธรรมวินัยไง

เราเป็นอาบัติใช่ไหม? รู้ว่าอันนี้เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ข้าพเจ้าเป็นอาบัติปาจิตตีย์ แต่ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าไม่มีผู้ปลงอาบัติไง ไม่มีผู้ปลงอาบัติ ข้าพเจ้าขอว่านี่เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ถ้าเจอพระข้าพเจ้าจะปลงอาบัติทันที เห็นไหม เพื่อกำจัดนิวรณธรรมที่จะเกิดขึ้นมาทำลายสมาธิเรา ให้มันชักไว้ไง แล้วทีนี้ก็ภาวนาให้ใจมันเดินต่อไป นี่กระแสของใจมันจะไปหรือไม่ไปไง

ข้าพเจ้าเป็นอาบัติปาจิตตีย์ แต่ไม่มีพระที่จะปลงอาบัติด้วย คือว่าขอให้เป็นหนี้ไว้ไง คือว่าก็ยอมรับผิด คือสารภาพผิดกับตัวเองไงว่าสิ่งนี้เป็นความผิด ข้าพเจ้าผิดแล้ว ข้าพเจ้าจะปลงอาบัติต่อไป ปลงอาบัติแล้วกรรมหายหรือไม่หาย แต่อาบัติหาย ปลงอาบัติหมายถึงการขอโทษไง ปลงอาบัติแล้ว เราทำผิดแล้วเราสารภาพผิด อริยวินัยไง

อริยวินัยคือว่าผิดแล้วยอมรับผิด นี่เป็นสิ่งที่ดีมากเพื่อจะทำดีต่อไป ถ้าผิดแล้วไม่ยอมรับผิด แล้วทำไม่ได้ คนก็เกิดไม่ได้ใช่ไหม? พระอริยเจ้าเกิดไม่ได้.. คนเกิดทุกคนมีกิเลส เกิดแล้วชำระกิเลสจนสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาเป็นองค์แรก ถึงมีอริยสาวกออกมาต่อๆ กันมา แต่เดิมนี่ใจเป็นกิเลสทั้งหมด ถ้ามันเถรตรงเกินไปมันชำระกิเลสไม่ได้ไง แต่ถ้าจะนอนเนื่องเกินไปมันก็ทำไม่ได้ไง

นี่เขาฟังมา เขาอยู่กับพระมามาก โอ๋ย.. เขาเทศน์ได้แจ๋วเลย เขาเทศน์ได้หมดเลย เพราะเขาคลุกคลีกับพระมาตลอดชีวิต เพราะเขาทำงานในวัดมาไง โอ้โฮ.. เทศน์มาเรื่อยนะ เมื่อคืนมาพูดให้ฟัง ไปตัดผ้าอยู่ไงเขามาหา เราต้องตัดผ้าอย่างนี้หมดเลยหรือ? ทำไมต้องตัดผ้า ทำไมซื้อเอาไม่ได้ ก็บอกวินัยฝากเจ๊กนี่ไง นี่ฝากเจ๊ก เจ๊กมันขายผ้าไง

ธรรมะนี้เก่าแก่ การตัดผ้านี่สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าบอกให้พระอานนท์เป็นคนออกแบบแล้วทำกันมา การทรงไว้นี่ทรงธรรมวินัยไง นี่เราพูดกับโยม ขอให้หุงข้าวเป็น เช็ดน้ำให้เป็น หุงเป็นแล้วเก็บไว้ วิชาไม่ได้แบกหามนี่ ไม่ได้ใส่บ่าแบกหาม ความเป็นไว้ไง

นี่ก็เหมือนกัน เราตัดเย็บจีวรเป็นโดยธรรมชาติไง ผู้ที่จะกรานจีวรได้ต้องเป็นผู้ที่ฉลาดในมาติกา ๘ ต้องกะผ้าเป็น ต้องตัดผ้าเป็น ต้องเนาผ้าเป็น ต้องเย็บผ้าเป็น ต้องย้อมผ้าเป็น ต้องกะผ้าเป็น แล้วเดี๋ยวนี้มีใครเป็น แล้วรับกฐินกันทุกวัน นี่การรับกฐินกันเพราะผู้รับกฐินต้องตัดเย็บผ้านี่ไง ถ้าคนรับกฐินต้องเป็นตรงนี้ไง เป็นไว้คือว่าเป็นวิชาไง ไม่ใช่เป็นไว้เพื่อว่าเป็นความลำบากไง

ถึงบอกว่า เพราะวินัยฝากเจ๊กตรงนี้เลยไม่มีไง แล้วมันก็เสื่อมไปๆ ไง นี่ความเป็นอยู่เราบอกเลย เพราะเราคนภาคกลาง เขาคนภาคกลางด้วยกัน บอกว่าหลวงปู่มั่น หรือครูบาอาจารย์เราทางภาคอีสานนี่ศึกษาขึ้นมา มันมีมาดั้งเดิมตั้งแต่สมัยพุทธกาล แล้วพระเรานี่ลืมตัวกัน แล้วครูบาอาจารย์ทางภาคอีสานได้ค้นคว้าขึ้นมา ได้ศึกษาขึ้นมาแล้วได้ทำขึ้นมาใหม่ แล้วเรานี่สืบต่อกันมา อู้ฮู.. ดีมากๆ ศึกษาไว้ สืบต่อนี่ดีมากๆ

นี่แล้วย้อมอย่างไร? ย้อมด้วยสีเหลืองขมิ้นหรือ? ไม่ใช่ ย้อมด้วยแก่นขนุน ไปดูแก่นนี่เป็นกองๆ สมัยโบราณนะ ฟืนมากๆ เอาแก่นขนุนมาถาก ถากแล้วต้ม ต้มจนมันตกผลึกจนเป็นเกล็ด แล้วเราเข้าป่าไปเอานี่ใส่ย่ามไว้ เวลาเข้าป่าไปเอาน้ำเติมไง แล้วเอาผลึกนี่ใส่ลงไปในน้ำให้สีมันแตก นี่ใช้ได้ขนาดนั้นนะ แล้วพระเรานี่เคยทำ เคยลองกันมา ต้มกันมามาก ลองแบบให้รู้ไง แต่เดี๋ยวนี้มันมีสีช่วย

ถ้าเราจะต้มอย่างนี้ เมื่อก่อนสีมันหายาก มันไม่มี อยู่ในป่าต้องใช้อย่างนี้ต้ม ต้มจนได้สี มีพระบางองค์ไม่ใช้สีเลย ต้มไปจนออกดำเลย เพราะสีแก่นขนุนนี่มันจะออกดำ นานๆ เข้ามันจะออกดำเพราะมันไม่มีสีมาจางให้มันออกไปไง ออกจนเป็นสีดำเลย เราเคยเห็น ใช้ธรรมดานี่ออกเข้มเลย สีคล้ายๆ อย่างนี้เลย แก่นขนุนนี่ย้อมไปๆ

มันดีอย่างหนึ่ง ก็ดีหนึ่งที่ว่าเขาเคยเข้าวัดมามาก แล้วเขามาเขาจะบอกเลย มาประมูลงานนี่งานวัดหรือ? งานวัดต้องคิดหนักๆ หน่อย เพราะญาติโยมมีเงินเยอะ งานวัดต้องคิดให้มากๆ เลย เมื่อคืนมาบอกเลย บอกเงินคือกระดาษ แต่เราไม่มีนะ เขาบอกว่าจำเป็นอยู่เหมือนกัน เงินคือเศษกระดาษ ถ้าเรายังติดเงินอยู่ พระพุทธเจ้าบอก “อานนท์ อสรพิษไง” ถ้าพระยังติดในอสรพิษ พระยังติดในลาภสักการะอยู่ พระองค์นั้นยังมีการคิดเห็นแก่ตัว

เพราะว่าอสรพิษนี่ สถานเสาวภาเขาเลี้ยงอสรพิษมาเป็นเซรุ่ม เป็นประโยชน์ใช่ไหม? อสรพิษกัดคนก็ตาย เงินนี่อยู่กับพระองค์ไหน ถ้าพระองค์นั้นดีเงินใช้ประโยชน์ ประโยชน์นั้นจะเกิดกับศาสนา ถ้าพระไม่ดี เห็นไหม ไม่พอใจใครเราก็จ้างฆ่า ไม่พอใจคนนี้เราไม่ต้องทำเลย เงินสั่งได้หมด อสรพิษ ไม่อสรพิษ

เราจะบอกว่าถ้ายังใฝ่หาอสรพิษอยู่นะ ยังข้องในอสรพิษ ยังไม่ได้ข้องในการกระทำนะ ข้องในอสรพิษคือกระแสไง พูดให้ฟังเมื่อวานเลย ไอ้...ยังไม่มา บอกโอ้โฮ.. ไอ้...มาทีหลังบอกดีใจมาก ดีใจมาก เลยแจกหนังสือไปคนละเล่ม

เราบอกอย่างนั้น พอเขาพูดมาแต่ละคำๆ ยันหมดเลย เขาจำมาได้ พอเขาพูดขึ้นมาบอกว่าองค์นี้ไม่เป็น พอพูดขึ้นมา องค์นี้ยังไม่รู้เรื่อง เพราะว่าพูดตามตำราใช่ไหม? เขาบอกว่าตอนนี้เรื่องฝ่ายปฏิบัติเรากรรมฐานนี่กำลังขึ้นหม้อ พระก็ยังพยายามจัดอยู่กรรม อยู่กรรมฐานกันทั้งนั้นแหละ ก็จัดกันเป็นพิธีกรรมไง ฉากไง เอาฉากมาตั้งไว้ เพื่อจะเอาอสรพิษไง เอาฉากมาตั้งเพื่อจะดึงอสรพิษเข้ามา เอาอสรพิษมาไว้ทำไม จะเอามาทำเซรุ่มหรือเอาไว้ฆ่าคนล่ะ?

เราบอกชี้ให้ดู ชี้ให้ดูเลย เพราะเขาจำได้หมดนะ วัดนั้นเขาว่าอย่างนั้นๆ วัดนั้นว่าอย่างนั้นๆ ไม่เป็น! ท่านอาจารย์จะว่าอย่างนั้นน่ะ เขาว่าอย่างนั้นน่ะ.. ไม่เป็น! แล้วพอว่าอย่างนั้นปั๊บเราอธิบาย ไม่เป็นเพราะเหตุนี้ ไม่เป็นเพราะเหตุนี้ เออ! เออ! เออ! หมดนะ เพราะเขามีเหตุผล เหตุผลว่าเขาเข้ามามากไง

นี่คนที่ว่าศึกษาเทคโนโลยี อย่างพวกเรียนหมอ เรามีเพื่อนอยู่คนหนึ่งเรียนหมอนะแล้วโดนไทร์ไง ๒ ปี บอกยุ่งเลย ยุ่งตรงไหน? ไปหาหมอ ตัวเองก็รู้ๆ อยู่ จะฉีดก็ไม่กล้าฉีด จะไปหาหมอก็ไม่ไว้ใจหมอ เพราะหมอบางทีมันไม่จบปริญญา ไอ้พวกพยาบาลนี่ฉีดยาก็ไม่ไว้ใจ รู้ก็รู้ไม่จริง มันบอกนะเรารู้ก็รู้ไม่รอบ รู้ไม่รอบมันก็ลังเล ไอ้จะทำก็ทำไม่ได้ ไอ้ให้คนอื่นทำก็ไม่ใช่ นี่เหมือนกันเลยนะ

เมื่อวานพอว่าอย่างนี้แล้วมันสะเทือนนะ แล้วพอคิดถึงอาจารย์มหาบัวพูด

“ไอ้หมาบ้าหันมากัดธรรม”

ไอ้พวกที่เอาธรรมะมาพูดเล่นกัน นี่พูดเล่นพูดหัว เห็นไหม ทำใจ ดึงใจแล้วจะว่างหมดเลย.. มึงทำใจอะไร? มึงทำงานอยู่อย่างนี้ แต่มันพูดมา นี่เขาเรียกว่าเอาธรรมะมาทำให้ต่ำไง เอาธรรมะมาวิจารณ์ไง วิจารณ์เล่นจนไร้สาระ คือว่าไม่เคารพธรรม อาจารย์เจี๊ยะบอก หลวงปู่มั่นนะเคารพทุกตัวอักษร อักษรอะไรก็แล้วแต่ต้องเชิดชูไว้มาก ตัวอักษรนี่เพราะอะไร? เพราะตัวอักษรมันเป็นตัวสื่อธรรมไง ตัวอักษรไง ธรรมะจะผ่านจากตัวอักษร

ตัวหนังสือนี่ท่านจะเคารพมาก จะถือนะ ถืออย่างไร? ถืออย่างไร? นี่ว่าสูงแล้วนะ ว่าเหน็บไว้อย่างนี้นะ กลับว่าไม่ได้! ต้องถือไว้อย่างนี้เลย เคารพมาก เรื่องเคารพธรรมไง เคารพสื่อของการจะออกมาทำ ไม่ใช่ว่าเคารพตัวธรรมนะ เคารพแต่ตัวสื่อ ท่านบอกตัวอักษรทุกภาษา ไม่ใช่ว่าอักษรพระไตรปิฎกถึงจะเป็นอักษรนะ อักษรในพระไตรปิฎกคือ ก.ไก่ ก.กา เหมือนกัน อักษรเหมือนกัน ตัวอักษรทุกตัวอักษรเป็นตัวสื่อของธรรม ตัวอักษรนี่ท่านจะเคารพมากเลย

นี่ความเคารพ เคารพตั้งแต่ตรงนี้เลย แต่นี่เอาธรรมะมาพูดเล่นกัน ทำใจให้ว่าง ทำใจให้ว่าง ทำใจให้ว่างเราบอกแก้วไงทำใจให้ว่าง กินเหล้ายังทำใจให้ว่างอยู่นะ แหม.. นั่งกินเหล้ากันครืนเลย เทศน์จนวงแตก หมาบ้า! ไอ้พวกหมาบ้า

ความสนิทชิดเชื้อหนึ่ง ไอ้พวกหมาบ้าหนึ่ง นี่ต้องให้ดี ไอ้พวกหมาบ้า